ผู้หญิงที่กำลังจับกรามบนแก้มซ้ายจากอาการปวดฟัน

สาเหตุของอาการปวดฟันกราม พร้อมวิธีดูแลรักษาช่องปากที่คุณทำเองได้

Published date field อัพเดทล่าสุด
Published date field

ตรวจสอบทางการแพทย์โดย Colgate Global Scientific Communication

แม้ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพช่องปากเป็นอย่างมาก และไม่เคยพลาดการตรวจฟันทุกๆ ปี แต่คุณก็หลีกเลี่ยงอาการปวดฟันกรามไม่ได้เช่นกัน มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพช่องปากที่ร้ายแรงกว่าที่คุณคิด สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ “ฟันกรามผุ” เพราะฟันกรามจะมีร่องลึกและซอกซอน ทำให้อาหารติดค้างได้ง่ายหากไม่แปรงฟันอย่างถูกวิธี ทั้งยังมีสาเหตุอื่นๆ นอกเหนือจากฟันผุที่ทำให้ปวดฟันกราม มาดูกันดีว่า อาการปวดฟันกรามเกิดได้จากสาเหตุใดบ้าง? มีวิธีแก้ปวดฟันอย่างไร? และเมื่อไหร่ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาอาการปวดฟันได้อย่างเหมาะสม

อาการปวดฟันกรามเป็นอย่างไร?  

อย่างที่ทราบกันดีว่า “ฟันกราม” คือฟันซี่ใหญ่สุดบริเวณด้านในสุดของช่องปากทั้งแถวบนและแถวล่าง ฟันกรามมีหน้าที่หลักในการบดเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแล้วคนเราจะมีฟันกรามทั้งหมด 12 ซี่ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะมีอาการปวดฟันกราม เพราะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก โดยอาการปวดฟันกรามมักจะมีลักษณะต่างๆ ดังนี้คือ

  • ปวดฟันกรามตุบๆ: คุณอาจจะรู้สึกปวดมากขณะเคี้ยวอาหาร หรือสัมผัสกับความร้อน / ความเย็น

  • เหงือกบวม: บริเวณรอบฟันกรามอาจจะมีเหงือกบวมแดงร่วมด้วย และมีอาการปวดเหงือกด้านในสุด

  • ปวดร้าว: บางคนอาจจะรู้สึกปวดร้าวไปยังบริเวณหู ขมับ หรือคอ

  • ฟันเป็นหนอง: สังเกตเห็นหนองไหลออกมาจากรูฟัน

  • มีกลิ่นปาก: ปัญหาฟันกรามอาจจะส่งผลให้มีภาวะกลิ่นปากเหม็นผิดปกติได้ 

หากคุณมีอาการผิดปกติในช่องปากเหล่านี้ แนะนำให้นัดพบทันตแพทย์โดยเร็วเพื่อทำการตรวจรักษาและค้นหาสาเหตุของอาการปวดฟันได้อย่างเหมาะสมจะดีที่สุด

อาการปวดฟันกราม เกิดจากสาเหตุใด?

ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดฟันกรามเกิดได้จากหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพช่องปากและฟัน แล้วยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลต่ออาการปวดฟันกรามได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น

  • ฟันผุ: หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้คุณปวดฟันกราม ฟันผุเกิดจากแบคทีเรียในช่องปากเปลี่ยนน้ำตาลและแป้งจากอาหารให้กลายเป็นกรด ซึ่งกรดเหล่านี้จะค่อยๆ กัดเซาะเคลือบฟันจนเกิดเป็นรูที่เรียกว่า "ฟันผุ" หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปฟันผุอาจกินลึกเข้าไปถึงบริเวณเนื้อฟันและทำให้ปวดฟันกรามอย่างรุนแรงได้

  • ฝีในช่องปาก หรือฟันเป็นหนอง: มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณฟันกรามผุ ที่ปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป ส่งผลให้เกิดการสะสมตัวของแบคทีเรียบริเวณเนื้อฟัน จนเกิดการติดเชื้อและฟันเป็นหนอง คุณจึงรู้สึกปวดฟันกรามรุนแรง ปวดกราม หรือกรามบวม โดยเฉพาะเมื่อรับประทานของร้อนหรือเย็นจะรู้สึกเสียวฟัน ทั้งยังอาจส่งผลให้มีกลิ่นปาก หรือมีไข้สูงจากการติดเชื้อรุนแรงร่วมด้วย

  • เหงือกอักเสบ: โรคเหงือกอักเสบ หรือโรคปริทันต์อักเสบ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกปวดฟันกรามได้เช่นกัน เนื่องจากคราบพลัคที่สะสมบริเวณซอกฟันและเหงือกเป็นเวลานาน ทำให้เหงือกบวม แดง และเหงือกอักเสบได้ ในบางรายอาจมีอาการปวดฟันกรามร่วมด้วย

  • ฟันคุด: อาการปวดฟันคุด หรือฟันกรามซี่ในสุดเริ่มงอกขึ้นมาที่หลายคนเรียกว่า “ฟันคุดโผล่” อาจจะทำให้รู้สึกปวด บวม แดงบริเวณรอบๆ ฟันที่งอกขึ้นมาได้ เมื่อมีเศษอาหารเข้าไปตกค้างบริเวณช่องว่างระหว่างเหงือกและฟันจึงกลายเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียชั้นดี ทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และปวดฟันกรามตามมา

  • การกัดฟัน หรือนอนกัดฟัน: การกัดฟันแน่นๆ หรือการเคี้ยวอาหารแข็งๆ เป็นประจำ อาจจะส่งผลให้ฟันกรามสึกกร่อน และมีอาการเสียวฟัน หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ เมื่อรับประทานอาหาร / เครื่องดื่มน้ำที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด รวมไปถึงการนอนกัดฟันก็อาจจะนำไปสู่อาการปวดฟันกราม ปวดเมื่อยขากรรไกร และปวดศีรษะได้ด้วย

  • ฟันแตกร้าว: อาการฟันแตก ฟันร้าว จากการเคี้ยวของแข็งหรือประสบอุบัติเหตุ อาจทำให้ฟันกรามมีรอยแตกร้าวได้ ซึ่งรอยร้าวเล็กๆ จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากรอยร้าวกินลึกไปจนถึงโพรงประสาทฟันก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟันกรามอย่างรุนแรงได้เช่นกัน

  • ไซนัสอักเสบ: หากคุณมีอาการปวดฟันโดยไม่มีสัญญาณของฟันผุอาจเกิดจากไซนัสอักเสบ อาการปวดฟันประเภทนี้มักมาพร้อมกับอาการคัดจมูก และอาการนุ่มนิ่มบริเวณโพรงไซนัส หากสงสัยว่านี่เป็นสาเหตุของอาการปวดฟันกราม แนะนำให้รีบพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม

  • ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร: ขากรรไกรผิดรูปก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ปวดฟันกรามได้เช่นกัน ซึ่งขากรรไกรผิดรูปอาจเกิดจากการบาดเจ็บบริเวณกามจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรง การเคี้ยวอาหารข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำ การบดฟัน (การนอนกัดฟัน) โรคข้ออักเสบ หรือโรคมะเร็งบางชนิด ที่ส่งผลต่อการปวดฟันกรามได้อีกด้วย

ทำอย่างไรถึงจะหาย “ปวดฟันกราม” ได้อย่างรวดเร็ว?

เราเข้าใจดีว่า อาการปวดฟันส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่อความมั่นใจของคุณมากเพียงไร อย่างไรก็ดี เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้คุณแก้ปวดฟันหายใน 1 นาที หรือบรรเทาอาการปวดฟันหายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น

  • รับประทานยาแก้ปวด: คุณสามารถรับประทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ซึ่งเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่ใช้ได้บ่อยและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด หรือกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen), แอสไพริน (Aspirin) ช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้ดี แต่ควรระวังผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรตามร้านขายทั่วไป ส่วนคนที่มีโรคประจำตัวแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาเพื่อความปลอดภัย

  • ประคบเย็น: การประคบบริเวณที่ปวดฟันด้วยความเย็นหรือเจลเย็น จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้

  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ: น้ำเกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวดฟันกรามได้

แม้อาการปวดฟันกรามจะสามารถบรรเทาได้ด้วยตัวเอง แต่วิธีแก้ปวดฟันเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น รวมถึงไม่สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดฟันได้ หากอาการปวดฟันทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แนะนำให้รีบนัดพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมโดยทันที

ปวดฟันกรามแบบไหน ที่ต้องรีบไปพบทันตแพทย์?

หากมีอาการปวดฟันกรามรุนแรงและปวดติดต่อกันนานเกิน 2 วัน หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ เหงือกบวมแดง มีหนองไหล เป็นต้น ควรรีบไปพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง อ้างอิงจากงานวิจัยของ มาโยคลินิก ระบุถึงสาเหตุของความกังวลเกี่ยวกับการใช้ยาแก้ปวดฟันบางชนิด เช่น Benzocaine ที่พบในเจลบรรเทาอาการปวดฟันหลายชนิด มีความเชื่อมโยงกับโรคหายากรวมไปถึงโรคที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ที่เรียกว่า “Methemoglobinemia” โดยทันตแพทย์สามารถแนะนำได้ว่ายาที่มี Benzocaine เหมาะสมกับอาการปวดฟันของคุณหรือไม่? รวมถึงควรใช้ยาในปริมาณมากน้อยเพียงใดจึงจะปลอดภัยที่สุด

H2 ดูแลฟันกรามอย่างไร ให้ห่างไกลอาการปวดฟัน

เมื่อรู้ถึงสาเหตุของอาการปวดฟันกรามกันแล้ว เรามาดูวิธีดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันอย่างถูกวิธีที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดฟัน และมีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรงอยู่เสมอกันดีกว่า

  • แปรงฟันอย่างถูกวิธี: แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเลือกใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม แปรงเบาๆ ในลักษณะวนเป็นวงกลม ที่สำคัญอย่าลืมแปรงลิ้นเพื่อขจัดคราบพลัคและแบคทีเรียตกค้างในช่องปาก เราแนะนำ คอลเกต เจนเทิล กัมเอ็กซ์เปิร์ท ที่พัฒนาร่วมกันผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม ให้ขนแปรงหนานุ่ม ซอกซอนร่องเหงือกได้ดีขึ้น และช่วยลดปัญหาสุขภาพเหงือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ใช้ไหมขัดฟัน: ไหมขัดฟันเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำความสะอาดซอกฟันในที่ที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง แนะนำให้คุณใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หรือทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร

  • ใช้น้ำยาบ้วนปาก: การใช้น้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดการสะสมของคราบพลัค แบคทีเรีย และช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่นยาวนาน แนะนำให้บ้วนปากหลังแปรงฟันทุกครั้งเพื่อการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างทั่วถึง แนะนำ น้ำยาบ้วนปากคอลเกต ที่มีให้เลือกหลายสูตรตามความต้องการของคุณ

  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายฟัน: เช่น การกัดเล็บ การนอนกัดฟัน (ควรปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ) การใช้ฟันกัดหรือฉีกสิ่งของต่างๆ การเคี้ยวน้ำแข็ง เป็นต้น

  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ: อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ขจัดคราบหินปูน และเข้ารับคำแนะนำในการดูแลรักษาช่องปากที่เหมาะสมสำหรับคุณ

ทางที่ดีหากคุณมีอาการปวดฟัน ฟันผุ หรือปวดฟันกรามแนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์โดยเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและรักษาอาการปวดฟันได้อย่างถูกต้อง รวมถึงค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการปวดฟันกรามได้อย่างตรงจุดนั่นเอง 

นอกจากนี้ คุณยังสามารถ จัดการกับอาการปวดฟัน และดูแลสุขภาพช่องปากด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่เรานำมาฝาก อย่างการแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง การใช้ไหมขัดฟัน และการใช้น้ำยาบ้วนปาก ที่สำคัญควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพช่องปาก พร้อมคืนความมั่นใจให้คุณมีลมหายใจหอมสดชื่นอยู่เสมอ

คำถามที่พบบ่อย

Q. ปวดฟันกรามตุบๆ เกิดจากอะไร?

A. อาการปวดฟันกรามแบบตุบๆ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ ฟันคุด เหงือกอักเสบ โรคปริทันต์อักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือฟันแตกร้าว โดยระดับความรุนแรงของอาการปวดฟันจะขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของปัญหาสุขภาพช่องปากรวมไปถึงอาการป่วยของคุณ แนะนำให้รีบพบทันตแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม

Q. วิธีแก้ปวดฟันหายใน 1 นาที?

A. มีหลายวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน หรือแก้ปวดฟันหายใน 1-3 นาที อย่างการรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่ใช้ได้บ่อยและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด หรือกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen), แอสไพริน (Aspirin) ช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้ดี แต่ควรระวังผลข้างเคียงต่างๆ เช่น ปวดท้อง ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ คุณสามารถประคบเย็นบริเวณที่ปวด หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ เพื่อฆ่าเชื้อโรค ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวดฟันเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว