ผู้ชายที่มีอาการเจ็บเพดานปากเเละกำลังจับแก้มด้านขวาพร้อมสีหน้าที่เจ็บปวด
Badge field

สาเหตุของอาการเจ็บเพดานปาก เพดานปากบวม มีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง

Published date field

คุณเคยรับประทานอาหารร้อน ๆ หรือเครื่องดื่มที่ยังร้อนจัด อย่างการซดน้ำซุป ชา หรืออาหารปิ้งย่างร้อน ๆ โดยรีบนำเข้าปากขณะที่อาหารยังร้อนจัดอยู่หรือเปล่า? แล้วอาหารร้อน ๆ ก็ลวกเพดานปากจนต้องรีบคายออกโดยเร็ว อาการนี้ชาวตะวันตกเรียกว่า ‘พิซซาแพลเลต’ ( Pizza Palate ) เพราะการรีบรับประทานพิซซ่าหน้าชีสร้อน ๆ ที่เพิ่งออกจากเตาจะลวกเพดานปาก ซึ่งปกติแล้วอาการเจ็บเพดานปากจะหายเองภายใน 2-3 วัน ว่าแต่อาการเจ็บเพดานปากเกิดจากสาเหตุใดบ้าง? เรามีเคล็ดลับรับมือเพดานปากบวมอย่างถูกวิธีมาฝาก

เพดานปากบวม เกิดจากสาเหตุใดบ้าง?

เพดานปากบวมเป็นอาการที่พบได้บ่อยและเกิดจากหลายสาเหตุ โดยมีอาการบวมแดง รู้สึกไม่สบาย เจ็บปวด และระคายเคืองเวลาดื่มน้ำ รับประทานอาหาร หรือแม้แต่การพูดคุย เมื่อโดนลวกเพดานปากจะอ่อนตัวลง มีอาการบวมพอง และติดเชื้อง่าย บางรายอาจมีแผลพุพองร่วมด้วย ส่วนเพดานปากบวมอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • การระคายเคืองจากการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มร้อนจัด ทำให้เจ็บเพดานปากได้

  • การสูบบุหรี่

  • การใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมระคายเคือง

  • การใส่เครื่องมือทางทันตกรรม เช่น ฟันปลอม

  • การติดเชื้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อรา ไวรัส และแบคทีเรีย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ เริมในปาก ฯลฯ

  • อาการแพ้ยา แพ้อาหาร

  • โรคทางช่องปากต่าง ๆ เช่น  โรคเหงือกอักเสบ ปากแตก

นอกจากนี้ สาเหตุอื่นๆ อย่าง การขาดวิตามิน ภาวะภูมิแพ้ และโรคทางระบบอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บเพดานปาก หรือเพดานปากบวมได้เช่นกัน หากคุณรู้สึกไม่สบายตัวในการรับประทานอาหาร หรือพูดคุยจากอาการเจ็บเพดานปาก แนะนำให้ไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาจะดีกว่า

เจ็บเพดานปาก เมื่อไหร่จะหาย?

โดยปากติแล้ว อาการเจ็บเพดานปาก หรือเพดานปากบวมมักจะหายเองตามธรรมชาติภายใน 3 – 7 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ หากมีอาการเรื้อรัง บวมแดง หรือเจ็บพาดานปากมากผิดปกติ ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว

เจ็บเพดานปากแบบไหน ควรไปพบแพทย์?

หากคุณมีอาการเจ็บเพดานปาก หรือเพดานปากบวมนานกว่า 7 วัน หรือรู้สึกเจ็บมากขึ้น มีอาการบวมรุนแรงขึ้น หายใจลำบาก กลืนอาหารลำบาก มีไข้สูง หรือมีอาการติดเชื้อและมีหนองไหลร่วมด้วย แนะนำให้พบทันตแพทย์โดยเร็วจะดีที่สุ

วิธีรักษาเพดานปากบวมด้วยตัวเอง

ตามปกติแล้วอาการเจ็บเพดานปากควรหายเองภายใน 1 สัปดาห์ และส่วนใหญ่จะหายได้เร็วกว่านั้น เรามีวิธีรักษาอาการเจ็บเพดานปากง่าย ๆ ด้วยตัวเอง และช่วยให้อาการนี้หายไวเร็วขึ้น 

  • หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด หรืออาหารแข็ง ๆ เพราะอาจทำให้เพดานปากระคายเคืองเพิ่มมากขึ้นได้

  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ หลังรับประทานอาหาร เพื่อให้ช่องปากสะอาดและปราศจากเชื้อโรคต่าง ๆ  เพียงละลายเกลือ 1/8 ช้อนชากับน้ำอุ่น 230 มิลลิลิตร แล้วนำมาบ้วนปาก 

  • รับประทานยาแก้ปวด หากยังมีอาการเจ็บเนื่องจากอาการเพดานปวกรุนแรง คุณอาจรับประทานยาแก้ปวดร่วมด้วย 

  • ประคบน้ำแข็งบริเวณแก้ม ข้างที่มีอาการเพดานปากบวมจะช่วยบรรเทาอาการได้

พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันการเจ็บเพดานปาก

เพื่อป้องกันอาการเจ็บเพดานปาก หรือเพดานปากบวม เราแนะนำให้คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถป้องกันเพดานปากบวมได้ ไม่ว่าจะเป็น

  • ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ ควรเลือกแปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม เพื่อป้องกันขนแปรงแข็ง ๆ ทำให้บริเวณเพดานปากอักเสบมากขึ้น เราแนะนำ เเปรงสีฟัน คอลเกต เจนเทิล กัมเอ็กเปิร์ต ที่พัฒนาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม ขนแปรงอ่อนนุ่มและหนาแน่นกว่า 6,700 เส้น ช่วยทำความสะอาดเหงือกและฟันได้อย่างละเอียดและอ่อนโยน 

  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ การดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน จะช่วยให้ปากชุ่มชื้นและสุขภาพดี

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป นำไปสู่สุขภาพช่องปากที่ไม่ดี

  • งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่อาจทำให้เพดานปากระคายเคือง และเพดานปากอักเสบได้

  • เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เพื่อลดอาการแพ้และป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ จะช่วยป้องกันการเกิดเพดานปาก และปัญหาสุขภาพช่องปากได้อย่างดี

นอกจากนี้ ควรดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเพดานปากบวม ควรเพิ่มความระมัดระวังเมื่อรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ ควรรอให้เย็นลงก่อนค่อยนำเข้าปาก อาหารที่อุ่นด้วยไมโครเวฟส่วนใหญ่จะร้อนมากกว่าปกติ จึงควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นกัน เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีอยู่เสมอ

 

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ในเรื่องสุขภาพช่องปากทั่วไป ไม่ได้ใช้เพื่อแทนคำแนะนำ การวินิจฉัย หรือการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับอาการหรือการรักษาทางการแพทย์ โปรดขอคำแนะนำจากทันตแพทย์หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่มีคุณสมบัติเหมาะสม