“เหงือกบวม” ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่คุณจะปล่อยทิ้งไว้ให้หายเองได้ เพราะเหงือกบวมเกิดได้จากหลายสาเหตุและอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ในช่องปาก แม้ส่วนใหญ่เหงือกบวมมักจะเกิดจากเศษอาหารที่ติดตามร่องเหงือกและซอกฟัน จากการไม่ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงฟันไม่ทั่วถึงทุกซี่ ทำให้เหงือกบวม เหงือกอักเสบ เจ็บเหงือก และเหงือกระคายเคืองได้ แต่เหงือกบวมอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นกัน คอลเกต รวมสาเหตุของเหงือกบวมเกิดจากอะไร? วิธีป้องกันไม่ให้เหงือกบวม สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเหงือกบวม และการดูแลสุขภาพช่องปากให้ห่างไกลจากเหงือกบวมมาฝาก
รวมสาเหตุ อาการ 'เหงือกบวม' พร้อมวิธีป้องกันและรักษาก่อนไปพบแพทย์
ตรวจสอบทางการแพทย์โดย Colgate Global Scientific Communication
เหงือกบวมเกิดจากอะไร? พร้อมวิธีป้องกันและรักษา ก่อนไปพบแพทย์
“เหงือกบวม” คือเหงือกที่มีสีแดง บวม และอาการระบม ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเหงือกที่เกิดจากจุลินทรีย์สะสม ทำให้สิ่งสกปรกและจุลินทรีย์สามารถแทรกซึมเข้าไปในเหงือก ทำให้รู้สึกเจ็บเหงือกเนื่องจากเหงือกระคายเคือง ทำให้เหงือกบวมและเหงือกอักเสบในที่สุด บางครั้งอาจมีเลือดออกขณะแปรงฟันร่วมด้วย เช่นเดียวกับเลือกออกระหว่างใช้ไหมขัดฟัน หรือรับประทานอาหารที่มีความแข็ง กรุบกรอบ เป็นต้น
นอกจากนี้ อาการข้างเคียงที่มักจะเกิดร่วมกับเหงือกบวม ได้แก่ แผลในปาก มีกลิ่นปากและเนื้อเยื่อเหงือกที่ร่นหรือไม่ยึดติดกับฟัน หากมีอาการแย่ลง หรือ เรื้อรัง คุณควรต้องไปพบทันตแพทย์โดยด่วน เพื่อยับยั้งปัญหาไม่ให้ลุกลามมากไปกว่านั้น
เหงือกบวมคืออะไร เกิดจากอะไรได้บ้าง?
สมาคมปริทันตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (AAP) ระบุว่า สาเหตุหลักของอาการเหงือกบวม เกิดจากการสะสมตัวของคราบจุลินทรีย์ แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความเครียด การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ภาวะอ้วน การสูบบุหรี่ หรือผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นเหงือกอักเสบได้ ส่วนสาเหตุที่พบบ่อยของอาการเหงือกบวมจากการติดเชื้อ ได้แก่
การดูแลสุขภาพช่องปากที่ไม่สะอาดเพียงพอ: อาการเหงือกบวมรอบฟัน อาจเกิดจากการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันที่ไม่ถูกต้อง ทำให้มีเศษอาหารตกค้างทำให้ฟันผุได้ เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ การดูแลสุขอนามัยในช่องปากที่ไม่ดีพอ จะทำให้เกิดปัญหาเหงือกบวมได้เช่นกัน รวมถึงเหงือกซีด แดง บวม มีเลือดออกขณะแปรงฟัน มีหนอง ฟันโยก หรือมีกลิ่นปาก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของเหงือกมีปัญหา
เหงือกอักเสบ หรือปริทันต์ (Gum Disease) อีกหนึ่งสาเหตุหลักของอาการเหงือกบวม ซึ่งเกิดจากการแปรงฟันไม่สะอาด หรือไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันเป็นประจำ ทำให้เหงือกอักเสบ หรือเป็นโรคปริทันต์ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC) พบว่า เกือบครึ่งของประชากรอายุ 30 ปีขึ้นไปในสหรัฐอเมริกามีปัญหาเหงือก อาการเหงือกอักเสบระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะเหงือกแดง บวม มีเลือดออกได้ หากปล่อยไปโดยไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลถึงขั้นฟันโยกและสูญเสียฟันในที่สุด
การรับประทานยาบางชนิด: อาการเหงือกบวมอาจเป็นผลข้างเคียงของยาที่คุณรับประทาน เช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก เป็นต้น หากมมีอาการเหงือกบวมหลังรับประทานยา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงเมื่อได้รับยาตัวใหม่ แพทย์จะได้พิจารณาจ่ายยาตัวอื่นให้แทนเพื่อป้องกันการเกิดเหงือกบวมต่อไป
เปลี่ยนยี่ห้อยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปาก: ส่วนผสมในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากยี่ห้อใหม่อาจกระตุ้นปฏิกิริยาในช่องปากทำให้เหงือกบวมและเหงือกระคายเคือง ทางที่ดีคุณควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก หลังจากที่คุณเปลี่ยนยี่ห้อยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก
ภาวะทุพโภชนาการ หรือขาดสารอาหาร: การบริโภคผักและผลไม้ที่ไม่เพียงพอ สามารถส่งผลต่อสุขภาพเหงือกของคุณได้เช่นกัน เพราะร่างกายควรได้รับวิตามินและสารอาหารที่เพียงพอในแต่ละวัน อย่างการขาดวิตามินซีอาจทำให้เหงือกอักเสบได้
การตั้งครรภ์: จากข้อมูลของ สมาคมการตั้งครรภ์แห่งสหรัฐอเมริกา พบว่า ระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลให้คุณแม่มีปัญหาเหงือกบวม เหงือกอักเสบ และเหงือกระคายเคืองได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระยะนี้จะส่งผลต่อการเกิดคราบจุลินทรีย์ได้ง่ายกว่าปกติ
การใส่เหล็กจัดฟัน และฟันปลอม: อุปกรณ์ทันตกรรมต่าง ๆ เช่น เหล็กจัดฟัน รีเทนเนอร์ และฟันปลอม ก็เป็นสาเหตุของอาการเหงือกบวม แสบเหงือก หรือเจ็บเหงือกได้เช่นกัน ปกติเหงือกสามารถปรับตัวเข้ากับอุปกรณ์จัดฟันได้เพียงแต่ต้องรอเวลาสักระยะ แต่หากเหงือกบวมและระคายเคืองนานเกินไป แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาและป้องกันการเกิดเหงือกบวม
ฟันเป็นฝี: สาเหตุที่พบได้บ่อยจากอาการเหงือกบวม เนื่องจากมีการติดเชื้อที่ฟัน ส่วนใหญ่เกิดจากฟันผุที่ไม่ได้รับการรักษา ทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายไปทั่วบริเวณฟันจนฟันผุ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาการปวดตุบ ๆ บริเวณเหงือกมีสีแดงหรือบวม ปวดฟัน ปวดฟันกราม ใบหน้าบวม มีไข้หรือมีรสเค็มในปาก ดังนั้น ฟันเป็นฝีต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทันตแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อ ทำการตัดส่วนที่ติดเชื้อออก หรือถอนฟัน ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงเช่นกัน
อาการเหงือกบวมป้องกันได้อย่างไรบ้าง?
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เหงือกบวม และหยุดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ภายในช่องปาก คือการแปรงฟันให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง ใช้น้ำยาบ้วนปากหลังการแปรงฟัน ควบคู่กับการใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ แม้คุณจะดูแลช่องปากอย่างดีเยี่ยม แต่คราบจุลินทรีย์ก็อาจเกิดขึ้นได้จนก่อตัวเป็นคราบหินปูนได้ แนะนำให้พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างเหมาะสม
การดูแลเเละทำความสะอาดฟันอย่างสม่ำเสมอ
การแปรงฟันวันละ 2 ครั้งอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ใช้ไหมขัดฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เช่น ถ้ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างฟันสองซี่ การแปรงซอกฟันจะช่วยทำความสะอาดได้ดียิ่งขึ้น แนะนำให้พบทันตแพทย์ปีละ 2 ครั้ง รวมถึงตรวจเช็กว่า เหงือกร่นหรือเหงือกบวมหรือไม่ สุขภาพช่องปากที่ดีและรอยยิ้มที่สวยงามขึ้นอยู่กับการใส่ใจมีมากแค่ไหน เริ่มต้นด้วยการดูแลช่องปากที่บ้านและติดตามผลด้วยการไปพบทันตแพทย์ทุกครึ่งปี เพื่อให้แน่ใจว่าสุขภาพช่องปากจะได้รับการดูแลอย่างดีอยู่เสมอ
สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการรักษาเหงือกบวม
มีหลายสิ่งที่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีอาการเหงือกบวม ผู้เชี่ยวชาญฯ มีคำแนะนำดี ๆ ในการดูแลตัวเองเบื้องต้น หากคุณมีอาการเหงือกบวมและเหงือกอักเสบ นั่นคือ
สิ่งที่ควรทำ:
แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาและป้องกันภาวะเหงือกบวมและเหงือกอักเสบได้อย่างดีที่สุด
เปลี่ยนอาหารที่รับประทานให้มีประโยชน์ต่อสุชภาพ ควรเพิ่มการบริโภคผักและผลไม้สด รวมถึงหลีกเลี่ยงโซดา แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงที่มีภาวะเหงือกบวม
ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน เพราะเกลือช่วยลดอาการเหงือกบวมและบรรเทาความเจ็บปวดได้
รับประทานยาลดการอักเสบและเบนโซเคน ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ไอบูโพรเฟน ช่วยลดอาการบวมที่เหงือกและบรรเทาอาการปวดและเจ็บเหงือกได้ ส่วนเบนโซเคน (Benzocaine) หรือยาชาเฉพาะที่ จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว ก่อนเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
รับประทานอาหารเย็น เพราะอาหารเย็นและอ่อนนุ่มจะช่วยลดอาการเหงือกบวมและยับยั้งการปวดได้
ควรพบทันตแพทย์ เพี่อหาสาเหตุของอาการเหงือกบวมและแนวทางในการรักษาเหงือกบวมที่เหมาะสมกับปัญหาของคุณ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:
หลีกเลี่ยงยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปากที่ทำให้ระคายเคือง หากคุณเพิ่งเปลี่ยนยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปากแล้วมีอาการเหงือกบวม หรือเจ็บเหงือก ควรหยุดใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุของอาการระคายเคืองทันที และกลับไปใช้ยาสีฟันที่เคยใช้เป็นประจำ รวมถึงหลีกเลี่ยงน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ เพราะสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือกได้
งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะทำให้เหงือกระคายเคืองและเหงือกบวมมากยิ่งขึ้น
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสจัด รวมถึงอาหารที่มีกรดจากมะนาวหรือผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้มตำ ต้มยำ เป็นต้น อาจทำให้อาการระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อย
1. ทำยังไงให้หายเหงือกบวม
ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของเหงือกบวม หรือสังเกตว่า คุณเปลี่ยนยาสีฟัน หรือแปรงสีฟันหรือไม่? เบื้องต้นทันตแพทย์แนะนำให้ดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี เช่น การแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ และบ้วนปากทุกครั้งหลังแปรงฟัน หากมีอาการเจ็บเหงือก เหงือกบวม หรือเหงือกระบมแนะนำให้ใช้น้ำแข็ง หรือผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบ ร่วมกับการรับประทานยาแก้ปวด หรือยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวด
2. เหงือกบวมหายเองได้ไหม
อาการเหงือกบวม โรคปริทันต์ หรือเหงือกอักเสบ สามารถหายเองได้โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา ในกรณีที่ไม่รุนแรงและร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ แต่หากคุณปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้สะอาด รวมถึงไม่ใช้ไหมขัดฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีประสิทธิภาพก็อาจส่งผลให้อาการเหงือกบวมและเหงือกอักเสบรุนแรงมากขึ้นได้
3. อาการของโรคเหงือกอักเสบคืออะไร
โรคเหงือกอักเสบ หรือปริทันต์ (Gum Disease) เกิดจากการแปรงฟันไม่สะอาด หรือไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันเป็นประจำ นอกจากนี้ เหงือกอักเสบอาจเกิดจากการบาดเจ็บของเหงือกจากแผลร้อนในบริเวณเหงือก รวมถึงภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามินบีและวิตามินซี นอกจากนี้ โรคเหงือกอักเสบก็อาจเกิดจากผลข้างเคียงของการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก เป็นต้น