โรคฟันผุ คืออะไร
โรคฟันผุ ในภาษาทางการแพทย์ คือ การเสื่อมสลายของฟัน ซึ่งรวมถึงโครงสร้าง ผิวเคลือบฟัน และ เนื้อฟัน
ในรูป
ผิวเคลือบฟัน
เนื้อฟัน
โพรงประสาท
คลองรากฟัน
โรคฟันผุเกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคฟันผุเกิดจาก แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องปากรวมตัวกับเศษอาหารและน้ำลาย สะสมจนเป็นคราบเหนียว หรือที่เรียกว่าคราบฟัน หรือ คราบแบคทีเรีย มักเกาะอยู่บนผิวของฟัน แบคทีเรียเหล่านี้จะเปลี่ยนสภาพแป้งและน้ำตาลให้เป็นกรด ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายแร่ธาตุผิวฟันจนเกิดเป็นรู โดยเริ่มจากรูเล็กๆ ลุกลามใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นโรคฟันผุ
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคฟันผุ
โรคฟันผุมักจะพบได้บ่อยในเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน โดยมีปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนประกอบ:
- การบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง (แป้ง และ น้ำตาล)
- การดื่มน้ำที่ไม่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนประกอบ
- อาการปากแห้ง น้ำลายน้อย
- การใช้ยาบางชนิด
- การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ
บริเวณของฟันที่ผุได้ง่ายที่สุด
มักเกิดใน 3 ตำแหน่งดังนี้
- อาการฟันผุบริเวณพื้นผิวเคลือบฟันด้านบดเคี้ยว เพราะคราบแบคทีเรียจะติดอยู่ตามร่องฟัน มักพบบ่อยในเด็กเนื่องจากมักละเลยการแปรงฟันในบริเวณนี้
- อาการฟันผุระหว่างซอกฟัน เพราะเป็นบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึง ไม่สามารถทำความาสะอาดได้ด้วยการแปรงฟันเพียงอย่างเดียว
- อาการฟันผุที่บริเวณรากฟัน เกิดขึ้นจากภาวะเหงือกร่น หรือการสูญเสียของกระดูกฟันที่เกิดจากโรคเหงือก หรือโรคปริทันต์อักเสบ
อาการบ่งชี้ของโรคฟันผุมีอะไรบ้าง
ฟันผุอาจเกิดขึ้นครั้งละหนึ่งซี่หรือมากกว่านั้นได้ อาการที่พบบ่อยได้แก่
- พบรูหรือรอยผุที่ฟัน
- มีอาการเสียวฟันมากขึ้น (เมื่อดื่มหรือรับประทานอาหารหวาน ร้อนจัด หรือเย็นจัด)
- มีอาการปวดฟัน
- มีเศษอาหารติดบริเวณซอกฟันบ่อยๆ
ระดับความรุนแรงของโรคฟันผุ
รูปที่1 คราบขาว
รูปที่2 การผุที่ผิวเคลือบฟัน
รูปที่3 ผุลึกถึงเนื้อฟัน
รูปที่4 เกิดการติดเชื้อที่โพรงประสาทฟัน , ฝีที่ปลายรากฟัน
ระดับที่ 1 การเกิดคราบขาว
แบคทีเรียจะทำปฏิกิริยากับแป้งหรือน้ำตาล ก่อให้เกิดกรดที่สามารถทำลายผิวเคลือบฟัน เป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสียแร่ธาตุ (แคลเซียม) ซึ่งจะปรากฏให้เห็นเป็นคราบสีขาวขุ่นที่ฟัน ระยะนี้ยังสามารถรักษาได้โดยง่าย
ระยะที่ 2 การผุที่ผิวเคลือบฟัน
การสูญเสียแคลเซียมยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในบริเวณผิวเคลือบฟัน ระยะนี้ควรได้รับการดูแลรักษาโดยทันตแพทย์
ระยะที่ 3 การผุที่เนื้อฟัน
การผุจากผิวเคลือบฟันลุกลามลึกเข้าไปถึงเนื้อฟันซึ่งสามารถขยายการผุไปยังฟันซี่อื่น ๆ ได้
ระยะที่ 4 การผุลุกลามไปยังโพรงประสาทฟัน
หากยังไม่ได้รับการรักษาในระยะที่ 3 การผุจะลุกลามลึกไปถึงโพรงประสาทฟัน และเกิดการติดเชื้อ จนเกิดฝีที่ปลายรากฟันได้
จะรักษาโรคฟันผุได้อย่างไร
- การรักษาขั้นพื้นฐานคือการอุดฟัน ทันตแพทย์จะสกัดเนื้อฟันเฉพาะส่วนที่ผุออก และตามด้วยการใช้วัสดุในการอุดฟัน
- หากการผุขยายพื้นที่มากขึ้น เกิดการเน่าเสียของเนื้อฟันที่รุนแรง จนไม่สามารถอุดฟันได้ ทันตแพทย์จะรักษาโดยการสกัดฟันส่วนที่ผุออก แล้วตามด้วยการครอบฟัน
- และหากการผุของฟันลามลึกไปถึงส่วนในของเนื้อฟัน ทันตแพทย์จะทำการรักษารากฟัน โดยการทำความสะอาดโพรงประสาทฟันที่มีการติดเชื้อ แล้วทำการอุดฟัน ตามด้วยการครอบฟันเป็นขั้นตอนสุดท้าย
การป้องกันฟันผุทำได้อย่างไร
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์หรือมีคุณสมบัติช่วยลดการก่อตัวของคราบแบคทีเรียได้
- การใช้ไหมขัดฟัน หรือ แปรงทำความสะอาดซอกฟันเป็นประจำเพื่อทำความสะอาดบริเวณที่การแปรงฟันเข้าไม่ถึง
- การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์หรือสารลดการก่อตัวของแบคทีเรีย
- บริโภคอาหารให้เหมาะสมตามหลักโภชนาการ และจำกัดการบริโภคอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
- เข้าพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน
การแปรงฟันอย่างถูกวิธี
- วางหัวแปรงทำมุม 45 องศากับขอบเหงือก ขยับแปรงไปมาเบาๆ ระหว่างเหงือกกับฟัน แล้วปัด (ฟันบนปัดลง ฟันล่างปัดขึ้น)
- แปรงฟันด้านในแต่ละซี่ ด้วยวิธีเดียวกัน
- แปรงบริเวณผิวฟันที่ใช้บดเคี้ยวแต่ละซี่ให้ครบทุกซี่
- ใช้ปลายขนแปรงสีฟันแปรงด้านหลังของฟันหน้าแต่ละซี่ ทั้งฟันบน และฟันล่าง
- อย่าลืมแปรงลิ้นเป็นขั้นตอนสุดท้าย
การใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี
- ดึงไหมขัดฟันความยาวประมาณ 1 ฟุตพันหลวมๆ รอบนิ้วกลางทั้งสองข้าง โดยให้เหลือเส้นไหมที่ใช้ขัดฟันประมาณ 2 นิ้ว
- ใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้จับไหมขัดฟัน แล้วค่อย ๆ เลื่อนเส้นไหมลงระหว่างซอกฟันเบา ๆ ระวังอย่าให้บาดเหงือก
- โค้งไหมโอบรอบฟันแต่ละซี่เป็นรูปตัวซี “C” เลื่อนไหมขัดฟันขึ้นลงเบาๆ ระหว่างซอกฟัน และขอบเหงือก เลื่อนเส้นไหม จากนิ้วกลางด้านหนึ่ง ไปยังนิ้วกลางอีกด้านหนึ่งเพื่อจะได้ใช้ไหมที่สะอาดสำหรับขัดซอกฟันถัดไป